Dipabhāvan meditation center, koh Samui, Thailand
  • หน้าแรก
  • เกี่ยวกับทีปภาวัน
    • ความเป็นมา
    • มูลนิธิทีปภาวัน
    • พระภาวนาโพธิคุณ
  • อาคารสถานที่
    • แนะนำอาคารสถานที่
    • ศาลาปฏิบัติธรรม
    • อาคารที่พักผู้ปฏิบัติธรรมสุภาพสตรี
    • ทางเดินภายในพื้นที่
    • สวนธรรมเภรี
    • สวนป่าศิขรินสินธุ
    • สวนสมคิดกฤษณาสาระภู
    • ห้องครัวทีปภาวัน
  • หลักสูตรปฏิบัติธรรม
    • สุดสัปดาห์แสวงหาอริยทรัพย์ พื้นฐาน
    • หาสุขได้จากทุกข์ ขั้นกลาง
    • หาสุขได้จากทุกข์ ขั้นสูง
  • ข้อควรปฏิบัติ
  • สมัครปฏิบัติธรรม
  • กิจกรรม
    • ภาพกิจกรรม
    • โครงการปลูกป่า
    • โครงการธรรมะ
    • วิทยาลัยอาชีวศึกษาภาวนาโพธิคุณ
  • การเดินทาง
    • รถทัวร์
    • รถไฟ
    • เครื่องบิน
    • รถส่วนตัว
    • จุดนัดพบทีปภาวัน
  • สื่่อธรรมะ

บูรณภาพทางพระศาสนา

20/3/2011

 
        พระพุทธศาสนาในประเทศไทย มีเอกลักษณ์ที่กล่าวได้ว่ามีแบบฉบับเฉพาะตัว ในฐานะที่เป็นชาวพุทธไทย การมองภาพพระศาสนาในเมืองไทยอย่างเข้าใจ จนสามารถมองเห็นองค์รวมทั้งหมดได้  จะทำให้สามารถเข้าไปเกี่ยวข้องและปฏิบัติตัวได้อย่างสอดคล้อง และถูกต้องเหมาะสม จนได้รับประโยชน์ตามสมควรแก่สถานะ 

       เริ่มจากองค์ประกอบด้านรูปธรรมที่เห็นชัดที่สุด อันดับแรก จะเห็น ศาสนพิธี หรือพิธีกรรมทางศาสนา เริ่มตั้งแต่ พิธีสมาทานศีล การปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ พิธีทำบุญต่างๆ  นอกจากนั้นยังมี ศาสนวัตถุ ศาสนสถาน ศาสนธรรม ศาสนบุคคล ศาสนปฏิบัติ


      ศาสนพิธี       เป็นจุดเริ่มแห่งการเข้าไปเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา

      ศาสนวัตถุ เป็นประจักษ์พยานของการปรากฏของพระศาสนาในทางรูปธรรม เช่นพระพุทธรูป ที่จารึกพระธรรม รวมไปถึงโบราณวัตถุที่แสดงการสืบทอดของพระพุทธศาสนา

     ศาสนสถาน เช่น วัดวาอาราม สถานที่ปฏิบัติธรรม เป็นต้น เป็นที่รวมกลุ่มกันแห่งพุทธศาสนิกชน เพื่อประกอบกิจทางศาสนา

     ศาสนธรรม คือ หลักการของพระศาสนาที่เป็นหลักปฏิบัติ เป็นใจความสาระ ของพระศาสนา

   ศาสนบุคคล คือ พุทธบริษัท ผู้นับถือพระศาสนา ปฏิบัติกิจของพระศาสนา ปฏิบัติตามหลักธรรมในพระศาสนา

   ศาสนปฏิบัติ  คือ การนำเอาศาสนาธรรม มาปฏิบัติในชีวิตจนเห็นผล

    สรุปว่า  พุทธศาสนิกชน  คือ ศาสนบุคคล  ผู้อาศัย ศาสนพิธี เพื่อเชื่อมโยงนำชีวิตเข้าหา ศาสนธรรม แล้วเรียนรู้ศาสนธรรม นำไปสู่ ศาสนปฏิบัติ  โดยมี ศาสนวัตถุ เป็นประจักษ์พยานทางรูปธรรม ที่เห็นและจับต้องได้ เป็นประตูเริ่มแรกสำหรับการเริ่มต้น หรือสำหรับผู้เริ่มต้น เข้าหาพระศาสนา และมี ศาสนสถาน เป็นสถานที่ประกอบกิจในพระศาสนา

           ดังนั้น  โดยอาศัยองค์ประกอบต่างๆ ภาพรวบยอดของพระศาสนา  จะปรากฏอยู่ที่ตัวศาสนบุคคลในพระศาสนา ที่ความประพฤติทางกาย วาจา ใจ ที่ถูกต้องตรงตามธรรม ตรงตามวัตถุประสงค์แห่งธรรม ที่พระศาสดาทรงประทานไว้  คือ ความประพฤติทางกาย วาจา ใจ ที่เรียบร้อย ไม่เป็นไปเพื่อก่อทุกข์โทษ ไม่เป็นไปเพื่อการเบียดเบียนตน และผู้อื่นให้ลำบากเดือดร้อน แต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ความสุขอันยั่งยืน ของตนเองและผู้อื่น

          การมองภาพรวมของพระศาสนาได้ จะทำให้เข้าใจประโยชน์และความจำเป็นขององค์ประกอบต่างๆ ที่เกื้อกูลและส่งเสริมให้เกิดการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงเป้าหมายของพระพุทธศาสนา โดยไม่แยกส่วนหรือดูดายดูแคลนส่วนหนึ่งส่วนใด จะด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม

         จุดสำคัญอยู่ที่การเชื่อมโยงองค์ประกอบของพระพุทธศาสนาให้ครบส่วน     ไม่หยุดหรือจบเพียงในส่วนศาสนพิธี ศาสนสถาน หรือศาสนวัตถุเท่านั้น แต่ควรพยายามเชื่อมโยงหรือยกระดับเข้าหาศาสนธรรม และศาสนปฏิบัติ โดยมีศาสนบุคคลเป็นแกนกลางในการประสานทุกส่วนเข้าด้วยกัน

    เนื่องจากทุกองค์ประกอบล้วนมีส่วนสำคัญทั้งสิ้น การมองภาพพระศาสนาในประเทศไทยด้วยความเข้าใจในองค์ประกอบเหล่านี้ จะทำให้สามารถประยุกต์และประสานวิถีไทยให้ได้รับประโยชน์จากพระพุทธศาสนา จนพัฒนาศาสนบุคคลให้มีคุณภาพ เพื่ออำนวยประโยชน์สุขให้กับประเทศและสังคมได้อย่างเต็มที่


 

อรติ โลกนาสนิกา

18/3/2011

 
Picture



                        ความเกลียดชัง พังโลกให้พินาศ

 

            ในทางพระพุทธศาสนากล่าวถึงเหตุแห่งความพินาศของโลกไว้ด้วยหลักพุทธภาษิตว่า      อรติ โลกนาสิกา ความเกลียดชัง เป็นเหตุให้โลกพินาศ  เพื่อแสดงให้เห็นว่า ความเกลียดชังนั้น เป็นสาเหตุแห่งความวุ่นวายและพินาศย่อยยับของโลกใบนี้   
           
           ความเกลียดชัง เป็นความรู้สึกที่รับใช้อคติ ความริษยา ความแข่งดี การยึดมั่นในทิฐิ  และเป็นที่มาของความความขัดแย้ง ความรู้สึกแบ่งแยก ความแตกสามัคคี ความเกลียดชังทำให้เกิดการหาทางทำลายล้างคู่กรณีในที่สุด ด้วยวิธีการต่างๆ 

        ดังนั้น โลกซึ่งเป็นสถานที่รองรับความขัดแย้ง การแบ่งแยก ขาดความสามัคคี และเต็มไปด้วยพฤติกรรมแห่งการทำลายล้างกันในลักษณะต่างๆ อันมีสาเหตุจากความเกลียดชังของบุคคลบนโลก จึงเป็นโลกที่นับถอยหลังไปสู่ความวิบัติย่อยยับลงทุกขณะ ไม่ว่าจะเป็นโลกภายนอก หรือโลกภายใน

        โลกภายนอก ได้แก่ กลุ่มสังคม ทั้งในระดับนานาชาติ ประเทศชาติ องค์กร หน่วยงาน ชุมชน หรือ ครอบครัว  เมื่อความเกลียดชังเข้าครอบงำแล้ว ความเกลียดชังจะทำให้จิตใจ มืดมนและคับแคบ จนละเลยและลืมถึงประโยชน์สุข ซึ่งเป็นจุดหมายร่วมกัน ยิ่งถ้าหากความเกลียดชังนั้น ขยายไปสู่วงกว้าง สภาพของสังคมนั้น ก็จะไม่ต่างอะไรกับลักษณะที่เรียกกันว่า ไก่ที่จิกกันเองในเข่ง เพื่อรอเวลาที่จะถูกนำไปเชือด จึงอนุมานได้ไม่ยากว่า โลกที่มีลักษณะเช่นว่านี้ มีแต่จะถอยหลังไปสู่ความวิบัติล่มจมเท่านั้น

       โลกภายใน ได้แก่ กายใจ ของผู้ถูกความเกลียดชังครอบงำ ก็จะย่อยยับพินาศจากประโยชน์สุข หรือความเจริญก้าวหน้าที่ควรจะได้รับ เพราะเมื่อใจถูกความเกลียดชังครอบงำแล้ว แทนที่ผู้นั้นจะมีแก่ใจคิดเรื่องดีๆ ทำเรื่องดีๆ เพื่อพัฒนาตนพัฒนาชีวิต ก็จะพยายามหาทางเพ่งโทษจับผิด หาช่องทางทำลายล้าง เอาชนะคะคาน  จิตใจจึงมีแต่จะปั่นป่วนรุ่มร้อนกระวนกระวายตลอดเวลา  โดยเฉพาะถ้ามุ่งในทางธรรมนั้น ความเกลียดชังจะทำให้พบกับความพินาศอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด นั่นคือ ความพินาศจากคุณงามความดี 

        ความเกลียดชังบางอย่าง มีความดีหรือความถูกต้อง ที่มีรากฐานจากความยึดมั่นในทิฐิ เป็นเหตุผลรองรับ ความเกลียดชังชนิดนี้ จะถูกปกปิดด้วยข้ออ้างของความดี ความถูกต้อง จนเจ้าตัวมองไม่เห็นหน้าตาแห่งความเกลียดชังที่ซ่อนอยู่อย่างแนบเนียน ทำให้ทั้งๆ ที่คิดว่าตนเองกำลังทำในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม แต่ก็หารู้ไม่ว่าตนกำลังรับใช้ความเกลียดชังอยู่อย่างไม่รู้ตัว

         ดังนั้น ความพยายามอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ แม้จะชื่อว่าเป็นไปด้วยความปรารถนาดี เพื่อให้ผู้อื่นทำหรือเชื่อในสิ่งถูกต้องเช่นตน แต่หากกระทำไป โดยมีความเกลียดชังกุมบังเหียนอยู่ภายในเช่นนี้  จะไม่มีทางสัมฤทธิ์ผลได้เลย รังแต่จะเพิ่มความขัดแย้งมากยิ่งขึ้นไป
     
         มีหลักการหลักธรรมอยู่หลายอย่าง ที่สามารถนำไปพิจารณาปฏิบัติเพื่อสลาย หรือคลายความเกลียดชัง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเกลียดชังผู้อื่น หรือถูกผู้อื่นเกลียดชังก็ตามได้แก่

-  หลักการเมตตา และให้อภัย

- การทำความเข้าใจเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคลในแต่ละด้าน แล้วยอมรับข้อจำกัดในเรื่องนี้ ที่ไม่อาจแก้ไขได้ หรือจำเป็นต้องอาศัยระยะเวลาและเหตุปัจจัยอื่นอีกมากในการแก้ไขเปลี่ยนแปลง

- หลักการมองประโยชน์สุขส่วนรวม หรือมองเป้าหมายร่วมกัน ไม่เอาเรื่องเล็ก มาทำให้เสียประโยชน์ใหญ่ที่จะพึงได้รับ

- การเอาใจเขามาใส่ใจเรา การนึกถึงอกเขาอกเรา 

- การลดราวาศอก การประนีประนอม การอะลุ่มอล่วย ดังคำที่ว่า ยอมไม่เป็นก็เย็นไม่ได้

- หลักการประสานประโยชน์ พบกันครึ่งทาง หรือ ถอยหลังคนละก้าว

- หลัก พุทธศาสนสุภาษิตที่ว่า “พึงเอาชนะความโกรธ ด้วยความไม่โกรธ เอาชนะความตระหนี่ ด้วยการให้ เอาชนะความไม่ดี ด้วยความดี ความชนะการพูดจาเหลาะแหละ ด้วยการพูดแต่คำสัจจริง”

- แม้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างทำใจได้ยาก ในสถานะการณ์แห่งความเกลียดชัง แต่พึงระลึกถึงความจริงว่า ศัตรูที่แท้จริงของเราคือ ความเกลียดชัง หาใช่เพื่อนมนุษย์ด้วยกันไม่
        

      ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งเป็นความพินาศของโลกใบนี้ที่มนุษย์อาศัยอยู่ มาเป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้น แล้วก็จากไป แต่ภัยพิบัติจากความพินาศของโลกคือสังคมและจิตใจ เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ และก่อภัยอันตรายได้อย่างยืดเยื้อ ตราบใดที่มนุษย์ปล่อยให้ความเกลียดชังเข้าครอบงำ
     

    แม้การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม ทำให้ต้องมีเรื่องกระทบกระทั่ง และประสบเหตุให้เกิดความเกลียดชังจนได้ ไม่ว่าจะถูกเกลียดชัง หรือเกลียดชังผู้อื่น แต่การระมัดระวังและรู้เท่าทันความเกลียดชัง จะเท่ากับเป็นการช่วยโลกคือสังคมภายนอก และโลกคือชีวิตจิตใจภายใน ไม่ให้พบกับพินาศย่อยยับเพราะความเกลียดชัง                  

บทเรียนจากมหันตภัย

15/3/2011

 
              ความผันผวนแปรปรวนทางธรรมชาติ หลายครั้ง เป็นเหตุก่อภัยพิบัติที่รุนแรง คร่าชีวิตของมนุษย์และสัตว์ พร้อมทั้งทำลายทรัพย์สินไปอย่างมหาศาล สร้างความทุกข์ความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสให้กับผู้ที่ประสบมหันตภัยทางธรรมชาติในรูปแบบต่างๆ เหล่านั้น

              ในฐานะที่เป็นเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก การตั้งจิตส่งความปรารถนาดี และแสดงความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ ปรารถนาจะให้ผู้ประสบชะตากรรมที่เลวร้ายเหล่านั้น พ้นจากความทุกข์เดือดร้อนโดยเร็ว เป็นเรื่องที่ควรกระทำ หรือหากพบช่องทางที่จะแสดงออกซึ่งความเห็นใจ และการช่วยเหลือได้ ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรรีรอเช่นเดียวกัน

         น่ายินดี ที่ท่าทีจากหลายประเทศทั่วโลก ต่อเหตุการณ์มหันตภัยทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นแก่ประเทศผู้ประสบภัย เป็นไปในทิศทางดังที่ว่า  แสดงให้เห็นว่า โลกนี้ ยังคงเป็นโลกของมนุษย์ ที่มีมนุษยธรรมค้ำจุนอยู่ และเป็นโลกที่มีความหวังว่า จะไม่ใช่เป็นโลกมนุษย์เฉพาะทางกายภาพเท่านั้น แต่มีมนุษยธรรมภายในใจรองรับอยู่ด้วย สิ่งเหล่านี้ เป็นเหมือนมาตรวัดคุณภาพ ที่รับประกันสวัสดิภาพโดยภาพรวมของมนุษย์ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต

                 ธรรมชาติมนุษย์ทั่วไป มักจะมีความกรุณา เห็นใจต่อผู้ประสบทุกข์เสมอ แม้แต่ศัตรูคู่แค้นที่โกรธเกลียดกันมานาน หากพบว่าคู่กรณีกำลังย่ำแย่หนักๆ ถ้าไม่ใช่คนที่มีจิตใจหยาบหรือความแค้นไม่รุนแรงฝังรากลึกเกินไป  ความเคียดแค้นที่เคยมีมาก็อาจจะหลุดหายไปได้ไม่ยาก หรืออย่างน้อยความรู้สึกเช่นว่าก็อาจจะลดระดับลงบ้าง

                 ภัยพิบัติที่รุนแรงทั่วโลกทุกวันนี้ แสดงตัวอย่าง ของความไม่แน่นอนของชีวิตบนโลกใบนี้ หรือ กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ ชีวิตนอกจากจะไม่สามารถดำรงอยู่บนโลกนี้ได้อย่างยั่งยืนยาวนานแล้ว ก็มีเหตุปัจจัยรอบด้านที่จะมาตัดรอนให้สั้นเข้าเสียอีก  ในมุมมองแบบพุทธต่อเรื่องนี้  คงจะไม่ใช่การรับรู้เหตุการณ์แล้ว เกิดความวิตกกังวลจนจิตตก แต่ควรเป็นเหตุการณ์ที่ช่วยทำให้ได้ข้อคิดบางอย่าง เช่น

๑.    ควรดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท เตรียมตัวเตรียมใจ เพื่อความปลอดภัยทางกายภาพ และความปลอดภัยทางจิตใจ ให้พร้อมเผชิญกับความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้นให้มากที่สุด เพราะต่อไปนี้สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป เพราะแม้จะอยู่ไกล ก็มีโอกาสเป็นไปได้ที่จะได้รับผลข้างเคียงแง่หนึ่งแง่ใดเสมอ

๒.   ควรเห็นคุณค่าของชีวิตตนเอง ด้วยใช้เวลาในชีวิตให้คุ้มค่า และอย่างสร้างสรรค์ ใช้ชีวิตอันเป็นทุน ให้เกิดกำไร คือ ความสุขและสาระที่ยั่งยืน เพื่อจะได้ไม่ต้องมีเรื่องให้ต้องเสียดายหรือเสียใจภายหลัง  

๓.   เห็นคุณค่าของเวลาแห่งการอยู่ร่วมกันกับบุคคลอันเป็นที่รัก และใช้เวลานั้นให้สมค่า จะได้ไม่มีคำว่า สายเกินไป มาทำให้ปวดใจทีหลัง เพราะไม่รู้ว่าชีวิตจะจอดที่สถานีโลกนี้ นานแค่ไหน อาจจะอีกไม่กี่ปี ไม่กี่เดือน ไม่กี่วัน หรือไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น บุคคลอันเป็นที่รัก เปรียบเหมือน ผู้ที่มาพบกันชั่วคราวระยะหนึ่ง ก่อนที่จะตีตั๋วเดินทางต่อไปตามทิศตามทางของแต่ละคน

เมตตาวิหารี เมตตารินใจ

8/3/2011

 
                 การฝึกหัดให้จิตเกิดความเมตตา อันดับแรกต้องเริ่มต้นจากความเมตตาต่อตนเอง              ให้ได้และให้เป็นเสียก่อน และก่อนจะเมตตาตนเองได้ เราต้องมองจนเห็นชัดเจนด้วยใจจริงๆ เสียก่อนว่า ความมุ่งร้าย ความโกรธ ความเกลียด ทำให้เราเป็นทุกข์และน่ารังเกียจแค่ไหน  

               หากเรารักตนเองพอ เราจะไม่ปล่อยให้ความโกรธครอบงำใจ จนด่วนสนใจแต่ว่า เขาทำให้เราโกรธ หรือเราโกรธเขา   แต่เราจะสนแต่ว่า ความโกรธ ความเกลียด กำลังสุมใจให้ทุกข์ สติและความอดทนจะเกิด จนสามารถเข้าใจความจริงนี้ได้พอ ที่จะไม่ยอมปล่อยให้ใจเป็นทุกข์

           แม้หากยังไม่สามารถเมตตาต่อคู่กรณี หรือให้อภัยได้ในเดียวนั้น อย่างน้อย เราก็จะไม่เพิ่มเชื้อให้ความโกรธเพิ่มขนาดและปริมาณมากขึ้น จนโกรธกราดไปทุกเรื่องทุกคน นี่เป็นแบบฝึกหัดเริ่มต้น ของความเมตตาตนเอง หรือการปรารถนาให้ตนเองมีความสุข

             ที่สำคัญ หากไม่ฝึกความเมตตาเอาไว้เสมอในสถานการณ์ปกติ เราจะไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์แห่งความกระทบกระทั่ง ที่กำลังครุกรุ่นอยู่ได้เลย เพราะน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟฉันใด น้ำแห่งเมตตาในใจที่แห้งขอด ย่อมแพ้ไฟแห่งโทสะ ที่กำลังโหมลุกไหม้ฉันนั้น

             ดังนั้น การฝึกจนสามารถสัมผัสกับความสุขแห่งเมตตาได้จนเห็นคุณค่าของความเมตตา ทั้งต่อตนเอง และผู้อื่น หรือเห็นได้ว่า ความเมตตา และการให้อภัยต่างหากที่เป็นคุณต่อตน ในขณะที่ความโกรธ การจองเวร เป็นทุกข์โทษทำให้ใจเป็นทุกข์รุ่มร้อน แล้วพยายามหัดสร้างความเมตตาผ่านทางคำพูด การกระทำ และทางใจ หัดวางท่าทีต่อโลก ต่อบุคคล ต่อสัตว์ บนพื้นฐานของความเมตตาอยู่เสมอ   ดังนี้ ก็จะเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือ กับบทเรียนแห่งการเผชิญกับความโกรธในสถานการณ์จริงได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ

           

 

ครองโลก คลองธรรม

2/3/2011

 


รายรอบชีวิต จึงมีปรากฏการณ์ต่างๆ มากมาย ที่กำลังเปลี่ยนแปลงและเป็นไปให้เห็นอยู่
มีตอนเช้า มีตอนเย็น มีความมืด มีความสว่าง มีความสุข มีความทุกข์ มีความดีใจ 

มีความเสียใจ มีความเป็นหนุ่มสาว มีความแก่ชรา มีความแข็งแรง มีความเจ็บป่วย 
มีความสมหวัง มีความผิดหวัง  มีการเกิดขึ้นของชีวิต มีการล้มหายตายไป ฯลฯ

เมื่อสังเกตปฏิกิริยาทางใจของเรา เราจะเห็นว่า ความไม่แน่นอน เหล่านั้น 

มีทั้งในส่วนที่เข้าทางหรือตรงกับความต้องการของเรา
และคัดค้านกับความต้องการ หรือไม่เป็นไปตามที่เราต้องการ

แต่ชีวิตเคยชินและยึดติดกับความเปลี่ยนแปลงที่ตรงกับความต้องการ
และรู้สึกผิดหวังมาก เมื่อเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่ฝืนกับความ
ต้องการ

สังเกตจะเห็นว่า มีความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ที่แม้ไม่ตรงกับความต้องการของเรา

แต่เมื่อเรายอมรับได้ ก็ทำให้ใจไม่เป็นทุกข์
แต่หลายอย่างเรายอมรับไม่ได้ และฝืนที่ให้เป็นไปตามต้องการให้ได้

อย่างไรก็ตาม กฎเกณฑ์ธรรมชาติ ก็ใช่ว่าจะอยุติธรรม ต่อเราเสมอไป
เพราะมีความจริงอยู่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปตามเหตุปัจจัย

หากสามารถสร้างเงื่อนไขได้พ้องกับผลที่ต้องการ
ใครก็สามารถให้สิ่งต่างๆ เป็นไปตามต้องการได้ 
แต่ข้อยกเว้นนี้อาจไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นนัก
หากเราใจร้อน และปล่อยให้ความอยากวิ่งนำหน้า
หากรอไม่ได้ที่จะให้สิ่งต่างๆ ค่อยๆ คลี่คลาย
หากรอไม่ได้ที่จะให้เหตุปัจจัยต่างๆ มันพรั่งพร้อมเสียก่อน

หรือหากเพียงแต่คิด แต่ไม่ยอมลงมือทำการ

อีกทั้งหากลืมไปว่า  สติปัญญา และความพร้อมส่วนตัว
ของตนเองนั้นมีข้อจำกัด ทำให้ไม่สามารถบังคับ หรือสร้างเงื่อนไข
ทุกอย่างได้เสมอไป    
เราจึงมักเกิดอคติ หรือยอมรับความจริงไม่ได้อยู่ดี
หากความเปลี่ยนแปลงไม่เป็นไปตามที่คาดหวังเอาไว้   

เราควรเคารพต่อกฎเกณฑ์ที่ว่า ทุกสิ่งไม่อาจเป็นไปตามที่เราต้องการได้เสมอไป
สำหรับสิ่งที่จะเป็นไปตามที่เราต้องการได้นั้น ก็ต้องรอความประจวบเหมาะ

ทั้งเรื่องของเวลา และเงื่อนไขอื่นๆ

ดังนั้น ท่าทีต่อความเปลี่ยนแปลงต่างๆ รายรอบตัว จึงมีผลต่อทัศนะคติการใช้ชีวิตของเรา  

การมีท่าทีต่อความเปลี่ยนแปลง เหล่านี้ ไปในทางที่ผิด จะทำให้ดำเนินชีวิต
อยู่บนฐานแห่งความประมาท ไม่อยู่ในแนวทางแห่งสติปัญญา
ที่จะช่วยให้สามารถบริหารจัดการชีวิตในสถานการณ์ต่างๆ ได้ดี หรือสามารถจัดการความทุกข์
และรับมือกับปัญหาต่างๆ ในชีวิตได้  อารมณ์ด้านลบจะประดังเข้าหา 
ไม่ว่าจะเป็นความเกลียด ความกลัว ความว้าเหว่  ความโศกเศร้า  สารพัด

ในทางกลับกัน การมีท่าทีที่ถูกต้อง ต่อความเปลี่ยนแปลง แปรปรวนเหล่านี้

จะสอนให้รู้จักใช้ชีวิตได้ีอย่างลงตัว ทั้งชีวิตส่วนตัว การปรับตัวอยู่ในสังคม และการอยู่ร่วมกันในครอบครัว  
สามารถดำเนินชีวิตไปตามบทบาทและหน้าที่ ในทางที่จะทำให้ชีวิตประสบความสุข ความสำเร็จ และความราบรื่นได้มากที่สุด 
ทั้งยังพร้อมรับกับความเปลี่ยนแปลงที่ไม่เป็นไปดังที่คาดหวังตั้งใจ ได้อย่างไม่ผิดหวัง 
และพร้อมจัดการกับเงื่อนไข และเหตุปัจจัยที่จะทำให้เป็นไปดังหวังได้มากที่สุด

ข้อสอบชีวิต

1/3/2011

 
           แต่ละวัน เราจะได้รับบทเรียนชีวิตอยู่สองข้อ คือ ความพอใจ และไม่พอใจ ที่ผ่านเข้ามาทางกายหรือให้รับรู้ทางกาย และทางความรู้สึกภายใน วิธีศึกษาบทเรียน คือ หมั่นสังเกตให้เห็นว่ามา เห็นว่าไป เห็นว่ารุนแรง เห็นว่าเบาลง เห็นว่าทนได้ยาก เห็นว่าพอทนได้  

          การเห็นเป็นอย่างๆ ไป จะเป็นทางให้สามารถค่อยๆ มองเห็นความจริง ของความไม่แน่นอน ไม่มีเจ้าของ  ไปทีละน้อย เป็นขณะๆไป จนจิตค่อยๆ ยอมรับ แม้จะยังไม่สามารถเห็นอย่างชัดเจน จนจิตยอมรับตามจริงได้อย่างเต็มที่ แต่ก็จะได้รู้ลู่ทางแห่งการศึกษา สภาพทางกาย และสภาพความรู้สึกภายใน ตามความเป็นจริง ที่จะทำให้ค่อยๆ ถ่ายถอนอุปาทานความยึดมั่นสำคัญผิด ออกไปได้ 

         สังเกตต่อไปว่า ถ้าไม่เห็นตามที่มันเป็นทุกข์จะเพิ่มขึ้น ถ้ายอมรับตามเป็นจริงได้ ทุกข์จะลดลง    เราจะสังเกตเห็นธรรมชาติแห่งอัตตา ของตนเองว่า เป็นอย่างไร

                 คือ การดิ้นรนผลักไส อารมณ์ที่ไม่น่าชอบใจ (อยากให้ไป)

                      กอดรัดอารมณ์ที่น่าชอบใจ (อยากให้อยู่)

       คุณภาพของสติ ปัญญา จะทำให้เราศึกษาบทเรียนเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น คุณภาพของขันติ จะทำให้เราไม่หนีเรียน จนสอบตก ผลก็คือ การจมอยู่กับกองทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ต้นทางธรรม ต้นทางชีวิต

1/3/2011

 
เมื่อชีวิตเริ่มต้น ความจำเป็นแห่งธรรมะก็เริ่มขึ้น


ธรรมะ คือ หลักความจริงของชีวิต

และการปฏิบัติที่ถูกต้องตามหลักความจริงนั้น

ตลอดระยะเวลา แห่งความเป็นไปและเปลี่ยนแปลงของชีวิต

แห่งเหตุการณ์และสิ่งต่างๆ ทั้งรอบตัวในตัว ที่วนเวียนผันผ่านเข้ามาในทางชีวิต

เพื่อให้ชีวิตเริ่มต้น ดำเนินไป และจบลง อย่างถูกทาง

มีธรรมะระดับต้น เพื่ออยู่ในโลกได้อย่างราบรื่น รื่นรมย์ ไม่ขวางโลก ไม่รกโลก

มีธรรมะระดับสูง เพื่ออยู่ในโลก อย่างเข้าใจโลก ไม่แบกโลก ไม่ถูกโลกทับ

และหากต้องจากโลกนี้ไป ก็ไม่อาลัยในโลก

    Picture

    ยินดีต้อนรับผู้เข้าเยี่ยมชมทุกท่าน หน้าบล็อกนี้ เป็นทีประกาศข่าวสาร ความเคลื่อนไหวทั่้วๆ ไปของทีปภาวันธรรมสถาน และนำเสนอบทความธรรมะ หรือข้อคิดสั้นๆ เกี่ยวกับหลักการดำเนินชีวิตทั่วไป

        

    คลังบทความ

    December 2012
    October 2012
    March 2011
    February 2011

    หัวข้อบทความ

    All
    อรติ โลกนาสิกา
    เรือนจำ เรือนใจ
    ครองโลก คลองธรรม
    ต้นทางธรรม ต้นทางชีวิต
    ข้อสอบชีวิต
    เมตตาวิหารี เมตตารินใจ
    ลัดฟ้ามาหาใจ
    แนะนำเว็บไซด์
    ความสุขที่หายไป
    บทเรียนจากมหันตภัย
    บูรณภาพทางพระศาสนา
    กิจกรรมเดือนกุมภาพันธ์
    กิจกรรมอบรมนักเรียนระดับประถมศึกษา
    วัยรุ่น วัยวุ่น วัยเรียน วัยรัก วัยลอง วū

    RSS Feed

  • หน้าแรก
  • เกี่ยวกับทีปภาวัน
    • ความเป็นมา
    • มูลนิธิทีปภาวัน
    • พระภาวนาโพธิคุณ
  • อาคารสถานที่
    • แนะนำอาคารสถานที่
    • ศาลาปฏิบัติธรรม
    • อาคารที่พักผู้ปฏิบัติธรรมสุภาพสตรี
    • ทางเดินภายในพื้นที่
    • สวนธรรมเภรี
    • สวนป่าศิขรินสินธุ
    • สวนสมคิดกฤษณาสาระภู
    • ห้องครัวทีปภาวัน
  • หลักสูตรปฏิบัติธรรม
    • สุดสัปดาห์แสวงหาอริยทรัพย์ พื้นฐาน
    • หาสุขได้จากทุกข์ ขั้นกลาง
    • หาสุขได้จากทุกข์ ขั้นสูง
  • ข้อควรปฏิบัติ
  • สมัครปฏิบัติธรรม
  • กิจกรรม
    • ภาพกิจกรรม
    • โครงการปลูกป่า
    • โครงการธรรมะ
    • วิทยาลัยอาชีวศึกษาภาวนาโพธิคุณ
  • การเดินทาง
    • รถทัวร์
    • รถไฟ
    • เครื่องบิน
    • รถส่วนตัว
    • จุดนัดพบทีปภาวัน
  • สื่่อธรรมะ