บางครั้ง ขณะที่ร่างกายสามารถเดินเหิน หรือไปไหนมาไหนได้อย่างที่ต้องการ แต่ใจด้านใน กลับรู้สึกถึงแต่ภาวะที่แสดงความคับข้อง อึดอัด ติดตัน คับแคบ
อารมณ์ด้านลบต่างๆ เช่น ความโกรธเกลียด ความอาฆาต ความริษยา พยาบาทเปรียบเหมือนกำแพงขังใจไว้ จนใจรู้สึกได้แต่ความอึดอัดคับแคบกลางอก ดังวลีที่ว่า ไม่สบายอกไม่สบายใจ แม้เราจะรู้ถึงภาวะเช่นนี้อยู่เต็มอก และปรารถนาจะขับไล่อารมณ์ร้ายเช่นนี้ออกไปจากใจ แต่ความเป็นจริงอีกด้านหนึ่ง ก็ราวกับอยากจะกอดความรู้สึกเหล่านี้ไว้เต็มอกเช่นกัน เป็นเรื่องที่แปลกแต่จริง ที่เราไม่อาจผลักสิ่งที่มีพิษภัยต่อชีวิตจิตใจออกไปได้ ที่เป็นเช่นนี้ เพราะ ประการแรก เรามีท่าทีเดิมๆ ต่ออารมณ์หรือความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้น นั่นคือ การด่วนมองสาเหตุที่มาของอารมณ์ที่เป็นปัญหาต่อจิตใจนั้นๆ ว่าอยู่ภายนอกตัว ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ หรือบุคคลใดๆ ก็แล้วแต่ ซึ่งแม้จะจริงก็ตาม แต่ก็ทำให้เราข้ามช่วงตอนสำคัญไป นั่นคือ ช่วงตอน แห่งการยอมรับว่า เราเป็นผู้มีส่วนรับผิดชอบอารมณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เปรียบเหมือน ในขณะนี้เนื้อตัวของเรากำลังสกปรก หรือเลอะเทอะ เรื่องเร่งด่วนที่สุด คือ การรีบชำระล้างทำความสะอาด ไม่ใช่การเที่ยวเพ่งโทษหรือเอาผิดว่า ใครมาทำให้เนื้อตัวของฉันเลอะเทอะ แม้ในกรณีที่มีความจำเป็นที่ต้องทำเช่นนั้น ในบางเรื่อง นั่นก็เป็นเรื่องภายหลัง เพราะการด่วนมองหาเหตุนอกตัว ด้วยการโทษบุคคลหรือเหตุการณ์ภายนอกนั้น หาได้ทำให้อารมณ์ในขณะนั้นดีขึ้น หรือคลี่คลายได้เลย ที่สำคัญคือ การด่วนวิ่งออกนอกตัว ทำให้เราไม่สามารถมีหลักภายในให้เกาะ จนตั้งมั่นพอ ที่จะคิดหาทางไปแก้ไขเหตุการณ์ภายนอก หรือรับมือกับบุคคลภายนอกได้ ประการต่อมา เพราะเราถูกหลอกให้วิ่งตามอารมณ์ ถูกหลอกให้เห็นว่าเรื่องราวรายละเอียดแห่งความนึกคิดเหล่านั้น เป็นจริงเป็นจัง โดยไม่สามารถตั้งตัว หรือรู้ทันได้เลยว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เกิดขึ้นภายในขอบเขตกายใจของเราคนเดียวเท่านั้น ในขณะที่เราเห็นว่า ทุกคน ทุกเรื่องราว ในห้วงความคิดล้วนโลดแล่นและเป็นไปครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างทั้งโลกทั้งจักรวาล เมื่อเป็นอย่างนี้ เหมือนเราถูกหลอกให้วิ่งออกจากสาเหตุหลักของปัญหา กรอบในการมองปัญหาและจัดการกับอารมณ์ จึงกว้างขวาง ยุ่งยาก จนตามแก้ได้ยาก เพราะเราจะตามแก้ไปทุกคน ทุกเรื่อง ทุกราว ตามแก้ไปทั้งโลก ทั้งจักรวาล ทั้งที่ ในความเป็นจริงแล้ว การออกจากปัญหาต้องเริ่มต้นภายในกรอบกายใจนี้ หรือจะกล่าวให้ถูกต้องจริงๆ เราสามารถแม้กระทั่ง จบเรื่องแย่ๆ ได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ แม้ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่าย ไม่ใช่ใครๆ ก็ทำได้ แต่นั่น ไม่ควรถือเป็นเงื่อนไขที่จะไม่ทำให้เราเริ่มต้นพยายาม เพื่อทลายกำแพงออกจากการถูกจองจำในกรงขังแห่งความคิดหรือความรู้สึกร้ายๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก ดังนั้น หากเราตกอยู่ในภาวะที่เรือนใจกลายเป็นเรือนจำ การกลับมาอยู่กับตัวเอง การมองย้อนเข้าหาตัว กลับมามองหาเหตุภายในมากกว่า ตามเหตุภายนอก จะทำให้กรอบการจัดการกับความทุกข์ ตั้งรับกับภาวะอารมณ์ต่างๆ ดังกล่าว เหล่านั้นทำได้ง่ายขึ้น หรืออย่างน้อยก็เป็นการเิริ่มต้นถูกทาง ไม่ว่าเราจะเลือกวิธีการหลบหลีก การปะทะด้วยสติปัญญา การปรับเปลี่ยนปรับตัว และพิจารณาหาหนทางกำหนดท่าที หรือการเจรจา เพื่อจัดการแก้ไขที่มาของอารมณ์ด้านลบที่ไม่พึงประสงค์ ทั้งนี้ เพื่อที่จะปลดปล่อยใจให้เป็นอิสระจากการถูกจองจำอีกครั้งหนึ่ง |
ยินดีต้อนรับผู้เข้าเยี่ยมชมทุกท่าน หน้าบล็อกนี้ เป็นทีประกาศข่าวสาร ความเคลื่อนไหวทั่้วๆ ไปของทีปภาวันธรรมสถาน และนำเสนอบทความธรรมะ หรือข้อคิดสั้นๆ เกี่ยวกับหลักการดำเนินชีวิตทั่วไป
คลังบทความ
December 2012
หัวข้อบทความ
All
|